รัฐบาลปลื้มหลัง ยอดโควิดต่ำ ทั้งยอดป่วยใหม่และยอดเสียชีวิตต่ำต่อเนื่อง ตรอกย้ำคุณภาพและประสิทธิภาพของวัคซีน น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สถานการณ์โควิด19 ในประเทศไทยปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากยอดผู้ป่วยใหม่และผู้เสียชีวิตที่ลดลงและทรงตัวในระดับต่ำ โดยเฉพาะในรอบประมาณ 1 สัปดาห์ที่ผ่านมาหรือระหว่างวันที่ 12-20 ก.ย. 65 ส่วนใหญ่ยอดผู้ป่วยใหม่อยู่ในระดับต่ำกว่า 1,000 รายต่อวัน มีเพียงวันที่ 14-15 ก.ย. ที่เกินกว่าระดับดังกล่าว(1,321 ราย และ 1,125 รายตามลำดับ) ขณะที่ผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 10-15 คนต่อวัน สำหรับผู้ป่วยใหม่ ณ วันที่ 20 ก.ย. 65 อยู่ที่ 774 ราย
จำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง
แม้รัฐบาลโดยศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด19 (ศบค.) จะผ่อนคลายมาตรการทั้งภายในและระหว่างประเทศ โดยเปิดประเทศเต็มรูปแบบมาตั้งแต่เดือนก.ค. เป็นต้นมา แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพและประสิทธิผลของวัคซีนที่เป็นเกราะป้องกันโรคได้เป็นอย่างดี
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ในระยะต่อไปจะยังมีมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวซึ่งคาดว่าจะมีชาวต่างชาติเดินทางเข้ามายังประเทศไทยเพิ่มขึ้นอีก โดยเฉพาะช่วงไฮซีซัน ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 65-31 มี.ค. 66 ศบค. ได้มีมาตรการขยายระยะเวลาการพำนักชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย โดยให้ผู้ที่ได้รับยกเว้นการตรวจลงตราในการเข้าประเทศไทย (ฟรี วีซ่า) เดิมที่เคยพำนักในประเทศไทยได้ไม่เกิน 30 วัน จะขยายเป็นไม่เกิน 45 วัน ส่วนผู้ที่ได้รับ Visa on Arrival จากเดิมที่พำนักในประเทศไทยได้ไม่เกิน 15 วัน จะขยายเป็นไม่เกิน 30 วัน และในวันที่ 23 ก.ย. 65 นี้ ศบค. ชุดใหญ่จะมีการประชุมเพื่อประเมินสถานการณ์ในรวม และพิจารณามาตรการที่เหมาะสมต่อไป
ดังนี้ ด้วยกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่จะเพิ่มขึ้น ตามการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ รัฐบาลจึงขอเชิญชวนประชาชนเข้ารับวัคซีนทั้งให้ครบตามเกณฑ์และวัคซีนเข็มกระตุ้น โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีความเสี่ยงเช่นกลุ่ม 608 ได้แก่ ผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป, ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว 7 โรค และหญิงตั้งครรภ์ เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกัน ลดโอกาสการรับเชื้อ ป่วยหนัก หรือเสียชีวิต
สำหรับผลการฉีดวัคซีนโควิด19 ในประเทศไทย ณ วันที่ 18 ก.ย. 65 พบว่า มีการให้วัคซีนรวมแล้ว 143.14 ล้านโดส โดยประชาชนรับวัคซีนเข็มที่1 แล้ว 57.30 ล้านคน หรือร้อยละ 82.4 ของประชากรทั้งประเทศ รับวัคซีนเข็มที่2 แล้ว 53.80 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 77.3 และรับเข็มที่3 ขึ้นไปแล้ว 32.04 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 46.1
ขณะที่ผู้มีอายุ 60 ปี ขึ้นไปทั่วประเทศ 12.70 ล้านคน มีการรับวัคซีนครบตามเกณฑ์ 2 เข็มแล้ว 10.25 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 80.7 และรับวัคซีนเข็มกระตุ้นแล้ว 6.49 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 51.1
พรุ่งนี้! ชี้ชะตา ‘สุเทพ’ ฟังคำพิพากษา คดีโรงพัก 396 หลัง
สุเทพ เทือกสุบรรณ เตรียมขึ้นศาล ฟังคำพิพากษา คดีโรงพัก 396 หลัง ด้านทนายมั่นใจ เพราะชี้แจงข้อเท็จจริงไปกับศาลหมดแล้ว
ในวันที่ 20 ก.ย. เวลา 9.00 น. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (อม.) สนามหลวง เตรียมอ่านคำพิพากษา กรณีที่นาย สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตแกนนำ กปปส. และพวก 6 จำเลย ในคดีโรงพัก ที่ ป.ป.ช. ได้กล่าวหาว่ามีฮั้วกันเกิดขึ้น
ป.ป.ช. ระบุว่า คดีโรงพัก 396 แห่ง เกิดขึ้น ระหว่างวันที่ 9 มิ.ย. 52-18 เม.ย. 56 จำเลยที่ 1 เเละที่ 2 เปลี่ยนแปลงแนวทางจัดซื้อจัดจ้างโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) จำนวน 396 หลัง จากราคาภาคแยกสัญญามาเป็นการรวมจัดจ้างก่อสร้างไว้ที่ส่วนกลางสัญญาเดียว จำเลยที่ 5 เป็นผู้ชนะการประกวดราคา โดยจำเลยที่ 6 ยื่นเอกสารบัญชีแสดงปริมาณวัสดุและราคาได้เสนอ ราคาต่ำอย่างผิดปกติ จำเลยที่ 3-4 ในฐานะคณะกรรมการประกวดราคา ไม่ตรวจสอบราคาที่ผิดปกติ ดังกล่าว
และได้นำเอกสารบัญชีแสดงปริมาณวัสดุและราคานั้นไปใช้ในการขออนุมัติจ้างและใช้ประกอบ เป็นเอกสารแนบท้ายสัญญา ต่อมาจำเลยที่ 5 ก่อสร้างไม่แล้วเสร็จตามสัญญา เป็นเหตุให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เสียหาย ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1,2 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ลงโทษจำเลยที่ 3,4 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151,157 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 10,12 กับลงโทษจำเลยที่ 5,6 ในฐานะผู้สนับสนุนการกระทำผิด
ทนายนายสุเทพกล่าวว่า นายสุเทพ มีความพร้อมที่จะเดินทางไปรับฟังคำพิพากษาคดีฮั้วโรงพัก ในส่วนของจำเลยคนอื่นนั้น เมื่อศาลนัดแล้วและเป็นการนัดล่วงหน้าเป็นเดือนทุกคนก็คงต้องมีความพร้อม ในส่วนเนื้อหาของคดีนั้น นายสุเทพ และทีมกฎหมายไม่มีความกังวลใจ เพราะไม่มีอะไรต้องกังวลเนื่องจากได้เสนอข้อเท็จจริงให้ศาลไปทั้งหมดแล้ว มั่นใจในข้อเท็จจริงที่ให้ศาล ส่วนคำพิพากษาจะออกมาเช่นไร เราไม่อาจรู้ได้เพราะเป็นเรื่องของศาล แต่มั่นใจในความมีอยู่ของข้อเท็จจริงที่ได้นำเสนอไป
ครั้งหนึ่งในฤดูหนาว พระนางบูเช็คเทียนอยากชมดอกไม้ จึงออกคำสั่งให้ดอกไม้บานโดยพร้อมเพรียงกัน มีแค่ดอกโบตั๋นเท่านั้น ที่ไม่ยอมบาน
พระนางบูเช็คเทียนจึงสั่งเผาอุทยานด้วยความโกรธ แล้วให้ถอนรากถอนโคนดอกโบตั๋น เอาไปทิ้งที่เขา ในเมืองลั่วหยาง ลั่วหยางก็เลยกลายเป็นแหล่งเพาะปลูกโบตั๋นที่สำคัญในเวลาต่อมา
Credit : แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว | แต่งบ้านและสวน | พระเครื่อง | รีวิวกล้องถ่ายรูป